วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555

“ครบสูตร”คอนเซ็ปต์ “สปา” ยอดฮิต

“ครบ สูตร”คอนเซ็ปต์ “สปา” ยอดฮิต            ฤกษ์ดี เปิดตัวศูนย์อบรมเธอราปีสมือโปรของสปาระดับ 5 ดาว เอ็มสปา อินเตอร์แนชชั่นแนล ณ อาคารไวท์กรุ๊ป เมื่อวันก่อน ส่งสัญญาณให้แฟนพันธุ์แท้ผู้หลงใหลความผ่อนคลายจากสปา ร่วมอัปเดตเทรนด์ใหม่ๆ จากเธอราปีสมืออาชีพกันอย่างอบอุ่น ในบรรยากาศสบายๆ กึ่งเวอร์กชอป

             เริ่มด้วยการพูดถึงเทรนด์สปาในยุคนี้ ก็ไม่ธรรมดาซะแล้ว เอ่ยชมสาวไทยขนานใหญ่ ที่ปัจจุบันไม่เน้นเข้าสปาตามกระแสเหมือนเก่าก่อนอีกต่อไป แต่ยังตอบโจทย์ความต้องการของตัวเองแบบเต็มๆ

            ปริญ ประกฤติภูมิ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด เล่าว่า ผู้หญิงยุคนี้มีมุมมองกับการเข้าสปาเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น สามารถใช้บริการสปาตอบโจทย์ความต้องการของตัวเองมากขึ้น ส่วนฝั่งธุรกิจสปาเองก็ต้องคอยอัปเดตความต้องการของลูกค้าไม่แพ้กัน ขนโปรโมชั่นสุดเก๋ออกมาเอาใจคุณผู้หญิงทุกรูปแบบ แต่ที่กำลังมาแรงตอนนี้ ต้องยกให้รูปแบบสปาที่ผสมผสานการให้บริการอื่นๆ อาทิ การการเล่นโยคะ ไทชิ บิวตี้แอนด์ซาลอน ชนิดพร้อมสรรพเพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้สปากันแบบครบสูตร โดยเฉพาะในเรื่องฝีมือของเธอราปีสที่มีความชำนาญเทียบเท่ากันทุกคน ก็ยิ่งทำให้สปานั้นๆ เป็นที่ถูกอกถูกใจคุณสาวๆ ได้ไม่ยาก ไม่ว่าจะเป็นใครมานวด ความหนักเบาของน้ำหนักมือ ก็ช่วยสร้างความผ่อนคลายให้ทุกคนได้ไม่ต่างกัน

             "คนเข้าสปายุคนี้ไม่ใช่เพื่อตามเทรนด์อีกแล้ว แต่เป็นการตอบโจทย์ให้กับตัวเอง ซึ่งพอใช้บริการสปานานๆ ไป ก็จะเริ่มเห็นแล้วว่าที่นั่นดี ที่นี่ยังไม่ใช่ จนสามารถรู้ได้ว่าตัวเองเหมาะกับอะไรมากที่สุด" นอกจากนี้ ผู้คร่ำหวอดในแวดวงสปา ยังฝากมาถึงสาวๆ ที่ชื่นชอบสปาว่า... ยามใดที่ต้องเลือกเข้าสปาสักแห่ง คุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่เลือกใช้ ถือเป็นสิ่งที่ห้ามมองข้ามเด็ดขาด และควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติ ถือว่าดีที่สุด

           ดร.แคทลีน กิจโอธาน เป็นอีกสาวเก่งที่ได้ผ่อนคลายไปกับการเข้าสปาแทบทุกครั้งที่มีโอกาส ยกให้นิยามสปาในแบบของเธอ ต้องเพลิดเพลิน ผ่อนคลายและหายเครียด ส่วนสปาที่โดนใจนั้น จะต้องมีส่วนประกอบทุกอย่างแบบลงตัว ทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้จริงๆ ทุกอย่างที่สามารถรับรู้ได้ด้วยสัมผัสทั้ง 5 ต้องไปด้วยกัน ซึ่งเธอไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่กับเธอราปีสว่าจะเป็นใคร


             แม้แต่ เธอราปีสผู้ชาย ก็เคยใช้บริการกันมาแล้วสมัยเรียนที่เมืองนอก แรกๆ อาจจะมีเขินอายบ้าง แต่ถือว่าเป็นการให้บริการนวดเหมือนกัน น้ำหนักมือก็ไม่ต่างจากเธอราปีสผู้หญิง สามารถทำให้ผ่อนคลายได้ เพราะเธอราปีสสมัยนี้ ได้รับการฝึกฝนมาดี

             ด้าน พริมา อนุพันธ์ ก็ขอเทใจให้บรรยากาศสปาที่ชวนให้ผ่อนคลาย ตั้งแต่ย่างเท้าก้าวแรกเข้าสู่บริเวณสปาเป็นอันดับแรก นอกจากนี้ การต้อนรับ การให้คำปรึกษาและฝีมือการนวดของเธอราปิสด้วยความเป็นกันเอง ก็ยังเป็นคุณสมบัติที่สามารถเอาชนะใจคนรักการทำสปาอย่างเธอได้ไม่ยากเช่นกัน
      

            "จำได้ว่า เข้าสปาครั้งแรกแล้วติดใจมาก รู้สึกทันทีว่าร่างกายของเราผ่อนคลายและสบายมากๆ สำหรับใครที่ยังไม่เคยใช้บริการสปา สปาที่ดีต้องสามารถช่วยให้ผ่อนคลายได้ทุกสัมผัส ควรศึกษาให้รู้ว่ามีผลิตภัณฑ์อะไรบ้างที่เหมาะกับเรา ความต้องการของเราคืออะไร ซึ่งสปาที่เลือกก็ต้องตอบรับกับความต้องการของเราได้ด้วย ไม่ผิดหวังแน่นอน"

แหล่ง ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

กำจัดขนด้วยเครื่องเลเซอร์

กำจัด ขนด้วยเครื่องเลเซอร์          เรื่องสตรีมีขนตามปกติในที่ต่างๆ บัดนี้ดูเหมือนว่าเป็นสิ่งรบกวนสุภาพสตรีในหลายๆ อาชีพเป็นอย่างมากพอสมควร การกำจัดขนด้วยวิธีต่างๆ จึงมีการพัฒนาก้าวหน้ามาตามลำดับตั้งแต่ถอนขนเองด้วยความเจ็บปวดไปจนกระทั่ง ใช้ครีม หรือใช้ยาบางชนิด หรือใช้เครื่องมือหลายๆ อย่างเข้ามาช่วย การใช้เลเซอร์เพื่อกำจัดขนดูจะเป็นของใหม่สำหรับหลายๆ ท่าน จึงขอให้ความรู้ไว้ ณ ที่นี้


          เครื่องเลเซอร์กำจัดขนชนิดหนึ่งมีชื่อว่า Gentle YAG (เจ็นเทิลแย็ก) เครื่องนี้เป็นเครื่องเลเซอร์ซึ่งได้พัฒนาเทคโนโลยีในการกำจัดขนถาวร สามารถกำจัดขนได้หลายๆ ส่วนของร่างกายและทุกประเภทของขน ทุกสีผิวโดยไม่ทำลายรูขุมขน ดูว่าจะใช้ง่ายกว่าการถอนขนเอง สะดวกและไม่กินเวลานาน


          Gentle YAG กำจัดขนได้อย่างไร

         เจ็นเทิลแย็ก (Gentle YAG) เป็นเลเซอร์ที่มีความเข้มข้นของแสงสูง เลเซอร์ที่ใช้ในการกำจัดขนจะปล่อยพลังงานในช่วงความถี่ ซึ่งสามารถเผาผลาญและทำลายรากขนซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของเส้นขน โดยไม่ทำลายผิวหนังบริเวณข้างเคียง ระหว่างการยิงเลเซอร์จะมี Dynamic Cooling Device (DCD) ซึ่งเป็นแก๊สเย็นออกมาพร้อมๆ กับเลเซอร์ เพื่อทำความเย็นให้กับผิวชั้นบน และปกป้องผิวด้านบนให้ปลอดภัย นอกจากนี้ ท่านยังรู้สึกสบาย ดังนั้นจึงเป็นเลเซอร์ที่แพทย์นิยมใช้ทั่วโลกในการกำจัดขน

       Gentle YAG สามารถรักษาอะไรบ้าง

          กำจัดขนถาวร (Permanent Hair Removal) ขนคุด (PFB)

          รักษาเส้นเลือดขอด (Leg Vein) ที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ม.ม.ตามใบหน้าและร่างกาย

          รักษาริ้วรอยเหี่ยวย่น (Wrinkles)

          รอยดำชนิดตื้น เช่น กระ

         เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับเลเซอร์ Gentle YAG

          ระยะเวลาที่ใช้ในการกำจัดขนด้วยเลเซอร์ ขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่ที่ต้องการจะกำจัด เช่น ขนเหนือริมฝีปาก ใช้เวลาประมาณ 1-2 นาที ขนรักแร้ประมาณ 5 นาที เป็นต้น

          โดยปกติเส้นขนแต่ละเส้นจะมีระยะเวลาช่วงที่งอกตัว และช่วงพักตัวก่อนที่จะหลุดร่วง และมีขนใหม่งอกมาแทนที่ แสงเลเซอร์จะทำลายเฉพาะเส้นขนส่วนที่งอกตัวเท่านั้น เพราะฉะนั้นการกำจัดขนด้วยเลเซอร์จำเป็นต้องรักษามากกว่า 1 ครั้ง โดยทั่วไปจะรักษาประมาณ 3-4 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 4-6 สัปดาห์

          การกำจัดขนด้วยเลเซอร์เจ็นเทิลแย็ก (Gentle YAG) เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูง ระหว่างทำท่านจะรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อย ซึ่งระดับความเจ็บปวดจะแตกต่างกันไปแต่ละบุคคลและบริเวณที่กำจัดขน

          หลังการทำการรักษาจะไม่มีรอยแผลแต่อย่างใด สามารถกลับไปทำงานต่อได้ทันที

แหล่ง ที่มา : บ้านเมือง

เทรนด์รองเท้าโต้ลมร้อน...สาวๆ เทรนดี้...

เท รนด์รองเท้าโต้ลมร้อน...สาวๆ เทรนดี้...
    ในซัมเมอร์ที่กำลังจะมาถึงนี้ รองเท้าของสาวๆ เมโทรแฟชั่นนิสตาทั้งหลายเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยมีอะไรหวือหวามากนัก ซึ่งก็ยังคงคอนเซ็ปต์ความเรียบง่าย แต่โก้ หรู และโมเดิร์นจากซีซันที่แล้วไว้อย่างไม่เสื่อมคลาย แนวสปอร์ตแวร์ก็ยังคงมาแรงไม่ต่างจากหนุ่มๆ .....

        ส่วนโทนสีที่อินสุดๆ ดำยังคงแรงอยู่ซึ่งก็ถ่ายต่อมาจากซีซันที่แล้ว น้ำตาลเบจก็มีมาพอให้ได้เห็น เดนิมและขาวก็มาเพื่อประคองความโก้ให้กับสาวๆ ในร้อนนี้ ...

        ส่วนการตกแต่งซึ่งถือว่าเป็นไฮไลต์ที่เฉิดฉายที่สุดของรองเท้าสาวๆ คือพิมพ์ลายดอกไม้ ใบไม้สีสันสดๆ เจ็บๆ ลงบนรองเท้า ว่ากันว่าสไตล์การตกแต่งรองเท้าแบบนี้ก็เพื่อให้เข้ากับเสื้อผ้าของหน้าร้อน ปี 2007 ที่มีกลิ่นอายของยุคซิกตี้ เรื่อยมากระทั่งถึงยุคเอตตี้ที่หลายๆ คนหลงใหล....

        วัสดุจากธรรมชาติทั้งของจริงและของเลียนแบบก็เป็นแรงบันดาลในการสร้างสรรค์ ของมวลหมู่ดีไซเนอร์รองเท้าหลายๆ คน เช่น การนำลูกปัดหินมาตกแต่ง การเอาลูกไม้เล็กๆ มาปักเข้ากับเส้นไหมหลากสีสัน การเย็บแบบโชว์ตะเข็บ รวมถึงการตกแต่งด้วยสายถักหนัง ฯลฯ
       ก็ดูเก๋กู้ดไม่เบา ....

       Metro Trip.....
      
        -รองเท้าที่ส้นแบนๆ เรื่อยไปจนกระทั่งไม่มีส้นจะเหมาะกับการสวมใส่คู่กับกางเกงมากกว่ากระโปรง ในทางกลับกันรองเท้าส้นสูงๆ หน่อยก็เหมาะกับการสวมใส่คู่กับกระโปรง ยิ่งสาวๆ เมโทรที่หุ่นสะโอดสะองและท่อนขาเรียวงาม รองเท้าส้นสูงจะยิ่งช่วยเพิ่มความโก้และดูดีให้คุณขึ้นอีก....

        -สาวๆ ที่รูปร่างเตี้ยก็ใช่ว่าการกระหน่ำใส่รองเท้าที่ส้นสูงมากๆ จะเป็นคำตอบสุดท้ายที่ดีที่สุดเสมอไป เพราะยิ่งถ้าทำอย่างนั้นก็เหมือนกับว่าคุณกำลังเขย่งอยู่ตลอดเวลา เมื่อยโดยเปล่าประโยชน์ แค่ 2-3 นิ้วก็เอาอยู่แล้ว อย่าให้ดูโอเวอร์มันจะดูเกินงาม...

       -เสื้อผ้าที่สีอ่อนหวาน ควรเลี่ยงรองเท้าสีเข้มๆ แต่ว่ารองเท้าสีบรอนซ์ สีขาว สีครีมสามารถเข้าได้กับทุกๆ สถานการณ์

       -รองเท้าที่ดีไซน์แบบเป็นเชือกผูก รองเท้าถัก หรือรองเท้าที่มีสายรัดข้อเท้าก็จะเหมาะกับสาวๆ ที่มีเท้าที่ยาวเรียวเท่านั้น สาวๆ ที่เท้าหนาหน่อยก็ไม่ควรลอง....

       -สมัยหนึ่งสาวๆ เมโทรทั้งหลายนิยมรองเท้าและกระเป๋าที่เข้าชุดกัน เหมือนกันเป๊ะๆ ทั้งแบบและสีสัน แต่เดี๋ยวนนี้เหล่ากูรูแฟชั่นบอกผ่านเมโทรไลฟ์ว่าสไตล์ดังกล่าวเอาต์ไปนาน มากแล้ว ที่สำคัญการแต่งแบบนี้จะมีผลทำให้ลุคของสาวๆ ดูหนักเกินไปด้วย.....

       -หากคุณเป็นสาวที่เท้าและปลีน่องค่อนข้างใหญ่รองเท้าแก้วแบบนางซินฯ รองเท้าหนังแก้วที่แวววับ รวมถึงรองเท้าส้นเข็มเรียวๆ ที่ทำมาจากแก้ว ฯลฯ หมดสิทธิ์สำหรับคุณค่ะ เพราะว่าความใสของแก้ว และความแวววับของหนังชนิดนี้จะเข้าไปเพิ่มความใหญ่บึ้มให้กับเท้าของคุณ..

       รู้จริงเรื่องรองเท้า...
     -รองเท้าคัตชู รูปแบบที่ปิดทั้งหัวและส้น ความสูงไม่เกิน 3 นิ้ว จัดว่าเป็นรองเท้ารุ่นยอดนิยม สาวๆ เมโทรทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ต่างนิยมชมชอบ ที่สำคัญรองเท้าประเภทนี้สวมใส่ได้กับเสื้อผ้าทุกๆ สไตล์ ที่สำคัญแลดูสุภาพที่สุด

      -รองเท้าแตะแบบมีส้นนิดๆ เปิดหัวหน่อยๆ เป็นรองเท้าที่ให้อารมณ์สบายๆ จึงเหมาะกับงานที่ไม่เป็นทางการมากนัก และจะเหมาะกับการสวมใส่คู่กับกระโปรงมากกว่ากางเกง...

       -รองเท้าส้นเข็มหลากลีลา ความสูงตั้งแต่ 3 นิ้วขึ้นไป ส่วนใหญ่จะดีไซน์ให้เป็นเชือกผูก หรือเชือกเส้นเล็กๆ ไขว้ไปไขว้มาเท่านั้น รองเท้าชนิดนี้แสดงออกถึงความเป็นผู้หญิงได้ดีที่สุดค่ะ
       สวมคู่กับชุดแซ็ก กระโปรงทรงเอทั้งสั้นและยาว หรือสูทที่ตัดเย็บอย่างประณีตก็ดูเฉิดฉายไม่เบา...

       -รองเท้าแบบที่มีสายรัดส้นเท้า เป็นอีกหนึ่งสไตล์ที่แสดงออกถึงความเป็นผู้หญิงสุดๆ ที่สำคัญเป็นผู้หญิงที่มีแบรนด์อิมเมจของความเซ็กซี่ รองเท้าประเภทนี้จะเหมาะกับงานปาร์ตี้ งานราตรีที่ดูหรูหราเท่านั้น ยิ่งแต่งด้วยแก้วใสๆ หรือเพชรวาวๆ ยิ่งสวยเริ่ด

       -รองเท้าบูต สาวๆ เมืองร้อนอย่างบ้านเราแค่บูตหุ้มข้อสั้นๆ ก็คงจะพอไหว แต่ถ้าเป็น
       บูตยาวท่าจะไม่ควร ยิ่งเป็นซัมเมอร์ด้วยแล้วควรเก็บเข้ากรุก่อน หนาวปีหน้าค่อยนำออกมาใส่ก็ไม่มีเอาต์ เพราะรองเท้าบูตทุกสไตล์จะเหมาะกับเสื้อผ้าหน้าหนาวที่ฟู่ฟ่าเท่านั้น แต่ก็ว่ากันว่ารอง
       เท้าบูตจะมีผลทำให้ลุคแลดูเป็นสาวๆ ที่ทะทัดทะแมง คล่องตัว ....

แหล่งที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

เทรนด์แต่งหน้าปี 2007 โดย เซอิจิ โคร่า

เท รนด์แต่งหน้าปี 2007 โดย เซอิจิ โคร่า     Metro Life มีโอกาสได้ไปร่วมงานเปิดตัวมาสคาร่า "เดจาวู ไฟเบอร์วิก" ขนตาปลอมแบบปัด ซึ่งในงานนี้มี Make up Artist ชื่อดังจากญี่ปุ่นมาร่วมงานด้วย คือ เซอิจิ โคร่า Chief Make up Artist จาก เพียส คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่นที่จะมาแต่งหน้าให้กับสาวสวย พิตต้า ณ พัทลุง ให้ชมกัน พร้อมกับมาแนะนำเทรนด์แต่งหน้าปี 2007 ซึ่ง Metro Life ก็ถือโอกาสไปพูดคุยกับ เซอิจิ โคร่า พูดถึงเทรนด์แต่งหน้าปี 2007 มาฝากกันค่ะ

      "สำหรับในปีนี้เป็นเทรนด์แต่งหน้าที่ยังต่อเนื่องจากปีก่อนๆ คือแต่งแบบธรรมชาติ เน้นในเรื่องของการแต่งดวงตาให้ดูคมเข้มโดดเด่นเช่นเดิม แต่อาจจะมีส่วนในการเพิ่มสีที่มีแรเงา และแลดูมิติเข้าไปในการแต่งหน้าด้วย" เซอิจิ บอกกับ Metro Life

      สำหรับการแต่งหน้าให้ พิตต้า ณ พัทลุง ในวันนี้นั้น เซอิจิบอกว่าเน้นการแต่งตาที่บางเบา ดูเป็นธรรมชาติมากกว่า ส่วนใครที่อยากแต่งหน้าให้เข้ากับเทรนด์ปี 2007 เซอิจิ บอกว่าเนื่องจากปี 2007 ยังเน้นในเรื่อง Long Eye Make ดังนั้นในเรื่องของการแต่งคิ้ว และริมฝีปากจะต้องอ่อนลง เพื่อไม่ให้เกิดการขัดแย้งกัน

       "ดวงตาสำคัญที่สุดในการแต่งหน้า เพราะดวงตาเป็นสิ่งที่คนจะมองกันมากที่สุด ดังนั้นควรใช้อายไนเนอร์ เพื่อเพิ่มโครงของดวงตาให้มีกรอบมากขึ้น จากนั้นใช้มาสคาร่า และเพิ่มอายแชโดว์ คือการสีสันของเปลือกตาเข้าไปด้วย จึงจะสวยสมบูรณ์แบบ" เซอิจิ กล่าว

       สำหรับโทนสีที่เป็นนิยมนั้น เซอิจิบอกว่า จริงๆ แล้วขึ้นอยู่กับบุคคลมากกว่าว่าจะเลือกสีสันแบบไหนก็ได้ ตามใจคุณ และส่วนในเรื่องโทนสีของแก้มนั้น เทรนด์ยังคงเน้นสีที่ดูเป็นธรรมชาติ เช่น สีชมพู และสีอมส้ม

       เพื่อให้เข้ากับเทรนด์แต่งหน้าปี 2007 ที่เน้นแต่งดวงตาให้สวยเฉิดฉาย เซอิจิจึงขอแนะนำเทคนิคในการปัดมาสคาร่า เพื่อให้ดวงตาดูสวยใสอินเทรนด์

       "การปัสมาสคาราควรเริ่มจากการจับแปรงให้ตั้งขึ้น และปัดไปมาทางซ้ายขวา เพื่อที่จะต่อความยาวให้ขนตา หลังจากนั้นให้มองต่ำและใช้แปรงปัดลงๆ และตามด้วยปัดย้อนขึ้น เพื่อให้ขนตามันแยกกันและยาวขึ้นอีกด้วย นี่เป็นขั้นพื้นฐาน

       ส่วนในกรณีที่ต้องการต่อขนตาให้ยาวขึ้น ควรจับแปรงให้ตั้งตรง และปัดเส้นต่อเส้น โดยเส้นไหนที่ต้องการปัดให้ยาวขึ้นก็ให้ปัดเน้นตรงนั้น โดยใช้หัวแปรงปัดขึ้นและย้อนขึ้น"

      สำหรับสาวไทยกับการแต่งหน้านั้น เซอิจิบอกว่าดูแล้วไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องผิวเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นควรเน้นในเรื่องการป้องกันผิวจากแสงแดดมากกว่า ซึ่งก่อนแต่งหน้า อาจจะมีการใช้ครีมกันแดดลงที่ใบหน้าก่อน และเนื่องจากประเทศไทยเป็นเมืองร้อน จึงอาจเลือกใช้รองพื้นชนิดแป้ง ซึ่งจะเหมาะกับสาวไทยมากกว่า แต่ทั้งนี้อย่าทาให้มันหนามากไปนัก โดยควรทาให้มันดูเป็นธรรมชาติ

       ในกรณีที่เป็นเจ้าสาวและต้องการแต่งหน้าให้สวย เซอิจิบอกว่าจะแตกต่างจากการแต่งหน้าธรรมดามาก เพราะแสงไฟในงานจะเจิดจ้ามาก ดังนั้นเจ้าสาวเองควรแต่งหน้าให้คมเข้มมากกว่าปกติ ไม่ว่าจะเป็นดวงตา หรือปากก็ต้องเพิ่มสีสันให้มากขึ้น ไม่อย่างนั้นเวลาถ่ายรูปออกมา หน้าจะดูจืดเกินไป

        รูปแบบของโทนสีสำหรับสาวผิวขาวหรือผิว 2 สี ไม่มีสูตรตายตัว แต่เวลาแต่งหน้า แนะนำให้ดูองค์ประกอบโดยรวมของร่างกายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกาย ทรงผม ว่าโดยรวมจะไปด้วยกันได้หรือเปล่า และดูว่าควรจะใช้โทนสีไหนที่เหมาะกับเครื่องแต่งกายของเราจะดีที่สุด เซอิจิ แนะนำ

        "ผมคิดว่าการแต่งหน้ามันเป็นรสนิยมส่วนบุคคล สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าจะแต่งหน้าแบบไหนดี แนะนำให้หาข้อมูลจากนิตยสารความงาม และให้เก็บข้อมูลตรงนั้นมาเพื่อใช้เป็นพื้นฐานในการแต่งหน้าของคุณเอง และถ้าคุณมีคนแนะนำการแต่งหน้าให้คุณด้วยก็อาจเป็นทางออกที่ดีกว่า ลองขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญประจำเคานเตอร์เครื่องสำอาง ซึ่งเขาจะให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับคุณได้" เซอิจิ บอกกับ Metro Life

       อยากสวยใสรับเทรนด์ปี 2007 อย่าลืมเอาคำแนะนำจากเซอิจิ โคร่า ไปใช้กันนะคะ รับรองสวยใสได้อย่างใจเลยล่ะค่ะ


แหล่งที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

ความงามแบบธรรมชาติ สไตล์ Mods Look

ความ งามแบบธรรมชาติ สไตล์ Mods Look       สาวๆ ที่เคยวุ่นวายกับการแต่งหน้าแบบหนา ต้องบอกว่าหลุดเทรนด์ของแฟชั่นปีนี้ไปแล้ว เพราะตอนนี้เครื่องสำอางเมกอัพ ฟอร์ เอฟเวอร์ เปิดรับเทรนด์ปี 2007  ด้วยเทรนด์แต่งหน้าที่กำลังอินสุดๆ ของชาวปารีเซียนในสไตล์ "มอส ลุค" (Mods Look) ที่เป็นแบบเรียบง่าย สวยใสถึงความเป็นธรรมชาติ โดดเด่นด้วยใบหน้าที่เนียนใสอย่างเป็นธรรมชาติ ผสมผสานการใช้เทคนิคไฮไลต์แต่ละจุดบนใบหน้า พร้อมปัดแก้มตามแนวรูปหน้า และเขียนอายไลเนอร์เส้นบางๆ สะดุดตา จนใครเห็นเป็นต้องเหลียวมอง

       วิธีแต่งหน้าสไตล์ Mods Look

     1. เตรียมผิวให้พร้อมก่อนแต่งหน้า โดยลงรองพื้นเพื่อตั้งโครงสร้างผิว ช่วยปรับให้ผิวดูเนียนเรียบสม่ำเสมอและกระจ่างใส โดยใช้มือหรือฟองน้ำเกลี่ยอย่างเบาๆ ทั่วใบหน้าสำหรับใบหน้าที่มีจุดบกพร่องจากรอยหมองคล้ำ รอยสิว รอยฝ้า จุดด่างดำ โดยใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับปกปิดโดยเฉพาะ เช่น คอลซิลเลอร์ เข้าแก้ไข และใช้เสริมจุดเด่นบนใบหน้าได้อีกด้วย โดยเลือกใช้สีอ่อนกว่าผิวที่บริเวณหน้าผาก จมูก โหนกแก้มทั้งสองข้าง และปลายคาง เพื่อให้ใบหน้าดูชัดเจนโดดเด่นยิ่งขึ้น ใบหน้าจะมีส่วนโค้ง ส่วนเว้าเด่นชัดขึ้น

     2. จากนั้นเข้าสู่ขั้นตอนการลงรองพื้นบนใบหน้า เพื่อทำให้ผิวหน้ามีสีผิวเรียบเนียน สม่ำเสมอ และลงแป้งฝุ่นบางๆ ทั่วใบหน้า เพื่อความเรียบเนียน ต่อด้วยการเขียนคิ้วเพื่อตั้งโครงสร้างของใบหน้า เพื่อให้ได้รูปหน้าที่ดูสมบูรณ์มากที่สุด

     3. แต่งสีตาให้ดูกระจ่างใสแบบธรรมชาติด้วยสีชมพูพาสเทล สีชมพูอมพีช สีชมพูอมส้ม หรือใช้สีใกล้เคียงกับสีผิวแล้วเสริมด้วยประกายทองเล็กน้อยที่กลางเปลือกตา ให้ตาดูสว่างสดใส พร้อมลงอายไลเนอร์ให้ดวงตาดูกลมโต จากนั้นไม่พลาดที่จะปัดไล้ขนตาด้วยมาสคาราที่ช่วยต่อเส้นขนตาให้ดูยาวเข้ม และกลมโตยิ่งขึ้น

     4. ในส่วนของการปัดแก้ม มีเทคนิคง่ายๆ คือการไล้รอบกระดูกโหนกแก้มด้วยสีชมพูอมส้มให้ผิวดูสวยใสสุขภาพดี จากนั้นเติมแต่งรูปปากด้วยดินสอเขียนขอบปาก เป็นสิ่งแรก ที่จะช่วยแก้ไขรูปปากได้อย่างเป็นธรรมชาติ และให้สีขอบปากดูกระจ่างชัดและแนบเนียนที่สุด แล้วจึงค่อยใช้ดินสอเขียนขอบปากสีนู้ดเขียนขอบปากแบบแรเงา ลงลิปสติกสีนู้ดทับ และเพิ่มลิปกลอสที่ทำให้ริมฝีปากดูอวบอิ่มและมันวาวยิ่งขึ้น

     5. ขั้นตอนสุดท้ายเช็กรายละเอียดรอบใบหน้า กดซับด้วยแป้งฝุ่นอัดแข็งที่ทำให้ใบหน้าเรียบเนียน ให้ความสมบูรณ์แบบ มอส ลุค เป็นผู้หญิงที่เผยผิวแบบสุขภาพดี โดยมีดวงตาที่สวยงาม ส่องประกายคมชัดกว่าใครๆ

แหล่งที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

แต่งหน้าเจ้าสาวรับเทรนด์ปี 2007

แต่ง หน้าเจ้าสาวรับเทรนด์ปี 2007
สำหรับเทรนด์แต่งหน้าปี 2007 นั้น ต้อ - ชรภาส โอภาสพันธ์ ช่างแต่งหน้ามืออาชีพชื่อดังจะมาพูดถึงเทรนด์แต่งหน้าเจ้าสาวปี 2007 ให้ชาว Metro Life ได้ทราบกัน

      โดย ต้อ - ชรภาส โอภาสพันธ์ นั้นเป็นเมคอัพอาร์ตติสต์อิสระ ที่เรียนจบการแต่งหน้ามาจากสถาบันแต่งหน้าชื่อดัง คือ MTI มีประสบการณ์การแต่งหน้ามากว่า 20 ปี ทั้งในแวดวงแฟชั่น โฆษณา และมีประสบการณ์ในการแต่งหน้าเจ้าสาวอย่างเชี่ยวชาญ สำหรับเทรนด์แต่งหน้าเจ้าสาวปีนี้นั้น ชรภาส บอกว่า

      " ตอนนี้หนังเกาหลีกำลังมาแรง ดังนั้นคนก็จะนิยมแต่งหน้าสไตล์เกาหลี คือ หน้าเนียนๆ เผยผิวใส ไม่รองพื้นหนามาก หรือถ้ารองพื้นก็จะเน้นให้หน้าดูใสไว้ก่อน ที่สำคัญขาดไม่ได้คือ ขนตาปลอม ส่วนคิ้วจะไม่เน้นคิ้วโก่งมากเหมือนสมัยก่อน แต่จะเน้นคิ้วที่ดูเป็นธรรมชาติ ส่วนปากก็อาจจะเข้มขึ้นมาหน่อย เพราะเป็นงานกลางคืน"

      เรียกได้ว่าเทรนด์แต่งหน้าเจ้าสาวปีนี้ เริ่มมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ส่วนใหญ่เจ้าสาวที่แต่งหน้าจะเอารูปดาราเกาหลี หรือดาราญี่ปุ่นมาให้ดูและให้ช่างแต่งหน้าแต่งตามมากกว่า

      สรุป เทรนด์แต่งหน้าปีนี้ เน้นแต่งหน้าให้ดูเบาบาง เน้นใช้สีเบาๆ อายแชโดว์สีเบาๆ เช่น สีชมพู สีส้ม

       ชรภาส ยังบอกว่า การแต่งหน้าของคนไทยจะให้เหมือนคนเกาหลี ที่เน้นสีเดียวเลยไม่ได้ แต่มันจะต้องมีเฉดดิ้งด้วย คือ การทำแลเงาบนใบหน้า และแม้แต่รองพื้นก็ต้องมีเฉดดิ้งด้วย

       "การแต่งหน้าของเรายังต้องมีไทยสไตล์ผสมอยู่ เพราะช่างภาพต่างประเทศมักนิยมถ่ายรูปแบบแบนๆ แต่ของเราจะต้องมีเงาอยู่ เพราะฉะนั้นการแต่งหน้าของเราก็ต้องช่วยเขาด้วย ต้องมีเฉดดิ้ง หรือการแก้ไขรูปหน้าก็ยังเป็นที่ต้องการอยู่ เพราะถ้าแต่งสีเดียวไม่สวย และบางทีบางคนตาตก ก็ต้องแต่งให้ตาดูไม่ตก หรือ ถ้าหน้าใหญ่ก็ต้องใช้รองพื้นสีเข้ม" ชรภาส เล่า

      นอกจากนั้น ชรภาส ยังเผยว่าเทรนด์โทนสีแต่งหน้าไม่มีรูปแบบตายตัว เพราะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลว่าจะแต่งตัวแบบไหนมากกว่า

     "คนที่แต่งตัวเป็น เขาจะแต่งหน้าตามชุดที่เขาแต่งตัว ดังนั้นถ้าจะบอกว่าเทรนด์โทนสีไหนมาแรง มันพูดยากนะ สมัยก่อน อาจจะมีกำหนดเทรนด์ว่าปีนี้เป็นแบบนี้ เช่น ยุค 80 ยุค90 แต่พอมาถึงยุค 2000 มันก็ต่างคนต่างแต่งแล้ว มีแต่สไตล์ใครสไตล์มันมากกว่า" ชรภาส บอกกับ Metro Life

       การแต่งหน้าของเจ้าสาว ช่างแต่งหน้าก็จะดูจากสีผิวของเจ้าสาวด้วย ถ้าสีผิวคล้ำมาก ก็จะไม่ใช้โทนสีชมพู แต่ถ้าหากเจ้าสาวยืนยันว่าจะใช้สีชมพู ก็ต้องดูด้วยว่าสีชมพูไหนจะเข้ากับสีผิวของเขามากที่สุด

       โดยทั่วไปการแต่งหน้าระหว่างเจ้าสาวและคนธรรมดาทั่วไปก็มีข้อแตกต่างกัน
       "การแต่งหน้าเจ้าสาว เราต้องเหมือนเนรมิตเลย คือ แต่งหน้าให้เขามองใกล้ก็สวย มองไกลก็ต้องสวยเด่น ซึ่งต้องใช้เทคนิคในการแต่งหน้าเยอะมาก เราต้องผสมผสานระหว่างการแต่งหน้าแบบ Clean Beauty คือแต่งหน้าให้สวยสะอาด และผสมกับการแต่งหน้าแบบ On Stage คือแต่งแบบละครเวที การแต่งแบบละครเวที คือ มองไกลสวย มองใกล้ไม่สวย เพราะจะไม่ได้ละเอียด แต่จะเน้นความเข้ม ความชัด"

       ชรภาส บอกว่า อยากสวยในวันแต่งงานทั้งที คนเป็นเจ้าสาวต้องไว้ใจช่างแต่งหน้าด้วย เพราะช่างแต่งหน้าทำได้หมด ในขณะเดียวกัน การทำผมก็ต้องช่วยการแต่งหน้าด้วย ทรงผมจะช่วยรูปหน้าดูสวยได้ บางคนรูปหน้ากลม ผมก็จะไม่ทำยกขึ้นมาก ส่วนชุดเสื้อผ้าก็ต้องดูด้วย บางทีคอสั้นไปใส่ปิดหมดก็ไม่สวย บางคนอ้วนมาก ใส่ปิดหมด มันก็เหมือนห่อไปทั้งตัว ดังนั้นคนอ้วนต้องเปิดด้วย

       นอกจากนี้ ปกติส่วนใหญ่เจ้าสาวเขาจะมีไอเดียอยู่ในใจอยู่แล้วว่าจะแต่งหน้ายังไง ทำผมยังไง และจะให้ช่างที่ไหนทำให้ หรือถ้าไม่มีไอเดียก็บอกช่างแต่งหน้าได้ เพราะเขาจะช่วยแนะนำให้คุณได้

แหล่งที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

เทรนด์ผมมาแรงปี 2007

เท รนด์ผมมาแรงปี 2007    สำหรับเทรนด์ผมผู้หญิงที่มาแรงประจำปี 2007ไม่พ้นทรงผมบ็อบ ซึ่ง ไก่- สมพร ธิรินทร์ บอกว่าเหมาะกับหน้าร้อนเป็นที่สุดค่ะ

       ประวัติส่วนตัวของไก่ -สมพร ธิรินทร์ นั้นจัดว่าคว่ำหวอดอยู่ในวงการทำผมมากว่า 20 ปี โดยเรียนจบการทำผมมาจากโรงเรียนเรื่องฤทธิ์

        "ที่บ้าน ส่วนใหญ่เป็นช่างทำผมกันหมด ซึ่งตอนแรกพี่จะแอนตี้ช่างทำผมมากๆ เลย ตอนหลังพี่สาวเปิดร้านทำผมขึ้นมา เราก็มีโอกาสได้ไปช่วยงานที่ร้าน ช่วยสระผมให้ลูกค้า ก็เลยเริ่มเปลี่ยนความคิด หันมาสนใจเรียนทำผมบ้าง จนกระทั่งได้มาทำผมในแวดวงแฟชั่นและแวดวงโฆษณา" สมพรเล่า

       ปัจจุบันนี้ สมพรมีร้านทำผมของตนเองชื่อว่า "The Lounge Hair Salon"ในย่านสุขุมวิท นอกจากนี้ยังดำรงตำแหน่ง Creative Director ของผลิตภัณฑ์ลอรีอัลด้วย

      "ปี 2007 เทรนด์ที่มาแรงคือ ผมบ็อบ เพราะใกล้จะหน้าร้อนแล้ว ทรงผมนี้จะมาแรงเป็นพิเศษ อาจจะเป็นบ็อบสไลด์ บ็อบทุย บ็อบนักเรียนที่เราเคยตัดมา และเดี๋ยวนี้บ็อบมันมีหลายแบบ ทั้งแบบสั้นข้าง ยาวข้างก็มี ข้างหลังสั้น ข้างสั้น ข้างหน้ายาวก็มี ดาราที่ตัดทรงผมบ็อบก็มีหลายคน เช่น ทรงผมของ วิกตอเรีย เบ็คแฮม , หน่อย -บุษกร, ตุ๊ก- จันทร์จิรา, เชอรี่ -เข็มอัปสร" สมพร เล่า

       จุดเด่นของทรงผมบ็อบ คือ ข้างหลังทุยๆ ซึ่งจะเหมาะกับคนเอเชียมากที่สุด เพราะโครงกะโหลกคนเอเชียค่อนข้างหัวแบน ไม่ทุย

      "ทรงผมบ็อบจะช่วยให้ดูกระฉับกระเฉง มีความมั่นใจ และทรงผมนี้เหมาะกับผู้หญิงสมัยใหม่ที่ต้องทำงานและไม่ค่อยมีเวลาดูแลเส้นผม เพราะทรงผมบ็อบดูแลรักษาง่าย ปัจจุบันนี้ผมไม่ต้องเป็นบ็อบสวยเนี้ยบ อาจจะเป็นบ็อบปลายชี้ไปมาก็ได้ ซึ่งเดี๋ยวนี้วิธีการตัดผมมันก็เปลี่ยนไป เดี่ยวนี้เขาเรียกว่าฟรีแฮนด์ คือตัดยังไงก็ได้ ไม่มีรูปแบบชัดเจนว่าจะต้องตัดแบบนี้" สมพร กล่าว

      สรุป ทรงผมบ็อบเหมาะกับทุกใบหน้า ซึ่งขึ้นอยู่กับแฮร์สไตล์ลิสต์จะดีไซน์ทรงผมให้ลูกค้าอย่างไร เช่นข้างหน้าสั้น ข้างหลังยาว หรือหน้าม้าไม่ควรตัด ซึ่ง

       แนะนำ

      หน้ารูปหัวใจ - คนรูปหน้าหัวใจโชคดีที่สามารถทำผมบ็อบได้ทุกรูปทรง แบบไหนก็ได้ ขึ้นอยู่กับทรงและการดีไซน์แล้วว่าจะตัดรูปแบบไหน
      
       หน้ารูปเหลี่ยม - ไม่ควรตัดหน้าม้าตรงเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้หน้ากลมยิ่งขึ้น ถ้าอยากตัด ควรตัดหน้าม้าแบบเฉียงๆ ไม่ก็บ็อบเทไปเลย จะช่วยให้หน้าดูเล็กขึ้น ไม่อย่างนั้นก็ไว้บ็อบแสกกลาง เพื่อจะปิดกรามของใบหน้า
      
       หน้ารูปไข่ - เป็นรูปหน้าที่ได้เปรียบที่สุด สามารถทำได้ทุกทรง ไม่ว่าจะเป็นหน้าม้าเฉียง หน้าม้าตัด บ็อบสไลด์ บ็อบเท
      
       คนรูปหน้ากลม - ไม่ควรตัดหน้าม้า เพราะจะทำให้รูปหน้ากลม ถ้าอยากตัดหน้าม้า อาจจะเป็นม้าแบบเฉียงๆ ซึ่งจะทำให้รูปหน้าดูเรียวขึ้น

      นอกจากนี้ สมพรยังบอกว่า ทรงผมยาวที่ซอยสไลด์ โดยปลายมีวอลลุ่มพลิ้วนิดหน่อย ก็ยังเป็นที่นิยมอยู่สำหรับเทรนด์นี้ ส่วนผมใครที่ผมตรงและยังรีบอนดิ้งอยู่ อันนี้เอาต์ ไม่ฮิตแล้ว

       "ปีนี้ อะไรที่มีวอลลุ่ม ดูอ่อนๆ พลิ้วๆ ปลายสะบัด ดูเป็นธรรมชาติ ดูแล้วมีสุขภาพดี อันนี้จะกำลังอินเทรนด์"

       ผลิตภัณฑ์ Hair Care มาแรง
       ส่วน ผลิตภัณฑพวก Hair Care นั้น สมพรบอกว่าสินค้าพวกนี้ ปีนี้จะมาแรงเป็นพิเศษ เช่น แชมพูบำรุงเส้นผม วิธีการรักษาเส้นผมโดยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทรีตเมนต์ หรือใครที่ดัดผมก็จะมีแชมพูสำหรับผมดัด ใครที่สีผมก็จะมีแชมพูสำหรับทำสีผม มาคอยดูแลเส้นผมที่เราทำไป ซึ่งปีนี้จะมีผลิตภัณฑ์พวกนี้ออกมาเยอะมาก ดังนั้นใครที่ดัดผม หรือทำสีผม ไม่ต้องกังวลว่าผมจะเสีย เพราะมีผลิตภัณฑ์ดูแลความงามตรงนี้มาเสริมด้วย

      เทรนด์สีผม       ส่วนสีที่เป็นที่นิยมในปีนี้ สมพร บอกว่า คือสีนู้ด เช่น สีน้ำตาล สีช็อกโกแลต สีโอวัลติน สีเอิร์ธโทน จะมาแรงมาก เพราะสีนู้ดจะเข้ากับหน้าร้อน ดูเย็นสบายมากกว่า ดังนั้นสีร้อนแรงอย่างเช่น สี แดง สีส้ม จะไม่ฮิตแล้ว
      
       ส่วนสีโฮไลต์นิยมเป็นสีไฮไลต์ขาว ช่วยกัดสีผมให้เห็นชัดเจน โดยไฮไลต์ที่เป็นสีสว่างทั้งหมดก็กำลังอินเทรนด์เหมือนกัน
      
       "ในไฮไลต์จะเป็นทูโทน คือ ขาวบ้าง อ่อนบ้าง สมมติถ้าอยากทำไฮไลต์สีน้ำตาล 2 สีก็จะทำไฮไลท์ในเฉดสีน้ำตาลเดียวกัน คือเข้มกับอ่อน ถ้าเป็นไฮไลต์สีสว่างก็จะเป็นไฮไลต์ 2 ระดับ คือ ไฮไลต์กับโลไลต์" สมพร กล่าว
      
       ส่วนสีพื้นผม เทรนด์จะเป้นสีน้ำตาล สีนู้ด เช่น สีซ็อกโกแลต สีโอวัลติน สีเปลือกไม้ เป็นต้น
      

เคล็ดลับแต่งตาสวย กลมโต แบบสาวญี่ปุ่น...

เคล็ด ลับแต่งตาสวย กลมโต แบบสาวญี่ปุ่น...
เทรนด์เมคอัพปีนี้ต้องยกให้ สาวตาโตแบบญี่ปุ่น ที่มาแรงสุดๆ และการจะทำให้ตาแบบอาหมวย กลมโตได้อย่างไร งานเปิดตัวมาสคาร่า "เดจาวู ไฟเบอร์วิก" ขนตาปลอมแบบปัด มีคำตอบให้ โดย เมคอัพอาร์ติสต์แดนปลาดิบบินลัดฟ้ามาตอบคำถามสาวไทยถึงที่ ณ ร้านอาหารญี่ปุ่น KOI RESTAURANT เมื่อสัปดาห์ก่อน

       มร. ทาเคฮิโกะ โนดะ ผู้จัดการทั่วไปอาวุโส เพียส คอร์ปอเรชั่น กล่าวต้อนรับแขกเหรื่อและแนะนำ เดจาวู ไฟเบอร์วิก ว่า "มีสุภาพสตรีกลุ่มหนึ่ง ที่รู้จักผมในฐานะที่ผมทำงานในบริษัทเครื่องสำอาง ส่วนใหญ่บ่นให้ฟังเกี่ยวกับปัญหาการใช้มาสคาร่าและปัดมาสคาร่าให้ออกมาสวย อย่างที่ต้องการไม่ได้ เนื่องจากมาสคาร่าที่ใช้อยู่นั้นไม่สามารถต่อขนตาให้ยาวอย่างที่ต้องการ และยังทิ้งรอยเปื้อนให้อีก บางครั้งเมื่อคุณปัดมาสคาร่ามากกว่า 1 ครั้ง หรือ 1 ชั้น ขนตาจะดูเป็นก้อนและไม่สวยงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคุณจำเป็นต้องรีบออกจากบ้านในตอนเช้า หรือเตรียมตัวออกเดท คงไม่เสียเวลามากถ้าคุณจะปัดขนตาให้สวยก่อนออกจากบ้าน เราจึงมีความยินดีแนะนำ เดจาวู ไฟเบอร์วิก ให้สาวๆ ยุคนี้"

       เมคอัพอาร์ติสต์ มร.เซอิจิ โคร่า Chief Make up Artist จากบริษัท เพียส คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น เดินทางมาอวดลีลาการปัดมาสคาร่าให้กับวีเจสาว พิตต้า ณ พัทลุง ซึ่งเคล็ดลับการแต่งดวงตากลมโตนั้น แม้จะเป็นสาวหมวย หรือสาวตาเล็ก หากรู้จักแต่งตาเพื่อให้โดดเด่นก็ทำได้ง่าย เริ่มจากการวาดเฟรมตาโดยอายไลเนอร์ ให้เนียนตลอดทั้งตาบน และกึ่งกลางด้านหางตาของขอบตาล่าง จากนั้นแต่งแต้มสีสันของอายแชโดว์ ให้ทั่วเปลือกตา และก็ถึงเวลาเนรมิตขนตาให้งามงอนด้วยมาสคาร่า

       เริ่มจาก ปัดมาสคาร่าให้กับขนตาบนเป็นวง 360 องศา โดยปัดลงก่อน จากนั้นปัดขึ้น และปัดไปด้านข้างซ้ายขวา จากนั้นก็ปัดลงอีกทีให้ขนตาเข้ม และปัดขึ้นอีกครั้งเพิ่มความงามงอน เมื่อได้ความเข้มและความงอนเท่าที่ต้องการแล้ว ก็ถึงเวลาต่อขนตาให้ยาวจรดฟ้า ด้วยการตั้งแปรงปัดขึ้น และปัดชี้ขึ้นให้ตลอดทั้งขนตาบน ขนตาล่างก็เช่นเดียวกัน ตั้งแปรงปัดแล้วใช้หัวแปรงปัดไปมาทั้งซ้ายและขวาให้ทั่ว

       เพียงเท่านี้ ก็ได้ดวงตากลมโตสมใจ มร. เซอิจิ โคร่า ฝากทิ้งท้ายไว้ว่า การปัดมาสคาร่านั้น ควรปัดซ้ำหลายๆ ครั้ง แม้จะมาสคาร่าที่ปัดจะแห้งแล้ว ก็ต้องปัดซ้ำอีก เพื่อให้ดวงตาดูเข้มและชัด สำหรับผู้ที่เริ่มต้นปัดมาสคาร่าและยังไม่ชำนาญ วิธีทำง่ายๆ เพียงถือกระจกไว้ในมุมตัก จากนั้นก้มมองกระจก และปัดขนตาขึ้น เพราะวิธีนี้ทำให้เห็นขนตาเด่นชัด และควรเลือกมาสคาร่าที่มีคุณภาพ และลบออกง่าย เพราะจะได้ไม่ต้องกลัวเลอะ

      ที่สำคัญอย่าลืมปิดมาสคาร่าให้สนิททุกครั้งหลังใช้ เพื่อให้สามารถเก็บไว้ใช้ได้นาน ซึ่งโดยเฉลี่ยการใช้มาสคาร่าของสาวๆ จะใช้ได้ประมาณ 3 เดือนต่อแท่ง เพียงเท่านี้ สาวๆ ก็มีทั้งตากลมโต และมีมาสคาร่าเก็บไว้ใช้ได้นานๆ

แหล่งทีมา : ผู้จัดการออนไลน์